วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552

จากกระทู้คุณ H.M.ไม่มีม้าน้ำ ..มาสู่ ฮิปโปโปน้อยในสมองคุณยาย ......จากข้อเขียนของคุณแทนไท ประเสริฐกุลค่ะ

คัดลอกมาจากระทู้ของคุณ คนภูธรGO ONนครบาล

    พอดีอ่านกระทู้ข้างบน แล้วนึกได้ว่าเคยมีคนเขียนเรื่องนี้ไว้ด้วย คือ คุณแทนไท ประเสริฐกุล โดยเขียนลง A Day และพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ โลกจิต สนุกมากเลยค่ะ อธิบายเรื่องสมองได้ง่ายและสนุกสุดๆ 
    เรื่องนี้เป็นหนึ่งในหลายเรื่องของคุณแทนไท ซึ่งเราจะลงลิงค์ไว้ที่ท้ายบทความนี้นะคะ
    ------------------------------------------------
    พวกคุณเคยมียายกันมั้ยครับ?

    ตัวผมเองเคยมียาย 3 คน แต่ตอนนี้เหลืออยู่แค่ 2 แล้ว
    เรื่องของคุณยายคนที่ผมจะเล่าให้ฟังในวันนี้ เป็นเรื่องของคุณยายบรรณ แม่ของแม่ผมเอง

    ยายบรรณอายุประมาณ 80 กว่าแล้ว ปกติแกอาศัยอยู่ที่ตรัง เดือนนึงจะขึ้นมากรุงเทพฯ ซักครั้งเพื่อตรวจสุขภาพ แกขึ้นมาทีไรพวกเราลูกหลานก็จะพากันยกขโยงชวนแกไปกินข้าวเย็นนอกบ้าน ช่วงหลังๆ มา บทสนทนาบนโต๊ะอาหารเวลาคุยกับแก จะไม่หลุดจากประมาณนี้มากนัก
    "เอ้ ร้านนี้เราเคยมาหนิ"
    "ใช่สิยาย คราวที่แล้วก็มากินร้านนี้แหละ"
    "อ้าว แทน แล้วทำไมแม่ไม่มาด้วยล่ะ"
    "อ๋อ แม่ติดงานอยู่ครับ"
    "อืมๆ แล้วนี่ยายมาเที่ยวนี้ยังไม่ได้ให้ตังค์แทนเลยนี่ เอ้ามาเร็วมาเอา… 2 หมื่นพอมั้ย"
    "โอ้ ขอบคุณมากครับท่านยาย"

    5 นาที ต่อมา"

    "เอ้ ร้านนี้เราเคยมานี่หว่า! อ้าว แทน แล้วแม่ไม่มาด้วยเหรอ"
    "อ๋อ แม่ติดงานอยู่ครับ&"
    "อ้าว แล้วนี่ยายมาเที่ยวนี้ยังไม่ได้ให้ตังค์แทนเลยนี่ เอ้ามาเอาเร็ว"
    "ยีสต์จริงยายนิ ตะกี้ยายให้มาแล้ว นี่ไงครับ"

    5 นาทีต่อมา"

    "เอ้ ร้านนี้มันคุ้นๆ นะ อ้าว แทน แล้วแม่ไม่ได้มาเหรอ"
    "อ๋อ แม่ไปจับปลาที่เปรูยังไม่กลับครับ"
    "หา ไปไหนนะ"
    "เปรูครับ"
    "ไปทำไมเปรู! แล้วนี่ยายได้ให้ตังค์รึยัง&"
    "ยังเลยครับ"
    "เอ้า งั้นมาเอาเร็ว สองหมื่นพอมั้ย"

    แกค้นกระเป๋าซักพัก แล้วก็ตกอกตกใจเป็นการใหญ่

    "เฮ้ย! ตังค์ยายหายไปไหนเนี่ย!"

    แก้ไขเมื่อ 11 เม.ย. 52 00:27:04

    จากคุณ : คนภูธรGO ONนครบาล

    ญาติๆ ก็ขำกันไปเวลาผมหยอกล้อยาย แต่คิดไปคิดมาบางทีผมก็ห่วงแกมากกว่าขำนะครับ มีบางวันแกตื่นเช้าขึ้นมา แปรงฟันเสร็จ แล้วก็ไปนอนต่อ เพราะแกจำไม่ได้ว่าเพิ่งตื่น บางวันกินข้าวไป 5 มื้อ เพราะกินแล้วก็กินอีก จำไม่ได้ว่าเพิ่งกินไปหยกๆ

    อย่างไรก็ตาม ถึงแม้แกจะจดจำเรื่องราวในชีวิตประจำวันไม่ได้เลย แต่ถ้าเกิดใครไปถามถึงเรื่องราวสมัยเด็กของแกละก็

    "โอ้ยสมัยก่อนนะ ยายเรียนที่เขมมะฯ เสาร์อาทิตย์นี่เค้าให้อยู่ในหอ แต่ยายก็ชอบแอบโดดไปเที่ยวกับเพื่อนบ่อยๆ บางทีขึ้นเรือไปถึงอยุธยาโน่นแหนะ แล้วมีอยู่วันนึงนะ ไปเที่ยวเล่นกระโดดข้ามจากเรือลำนึงไปอีกลำนึง ปรากฏว่า โดดไปโดดมา ลื่นตกน้ำไปเลย! เกือบตายแน่ะรู้มั้ย ว่ายน้ำก็ไม่เป็นด้วย"

    ความทรงจำวัยเด็กนี่เป็นอะไรที่ฝังรากลึกอย่างน่าประหลาดมาก หลายสิ่งที่เค้าให้ท่องจำตั้งแต่เด็กนี่ จำได้ขึ้นใจดีนัก

    อย่างไอ้ "บ้าใบ้ถือใยบัว หูตามัวมาใกล้เคียง" นี่ คอยตามหลอกหลอนผมมาตลอดชีวิต อยากจะลืมก็ลืมไม่ได้ บางวันถึงกับฝันร้าย ว่าโดนคนบ้าใบ้หูตามัวไล่ข่มขืน มันขืนใจอย่างเดียวไม่พอ ยังซาดิสต์เอาใยบัวฟาดๆๆ กระหน่ำลงมาอีก น่ากลัวสุดๆคนแต่งเค้าคิดได้ยังไง ไม่กลัวเด็กท่องแล้วร้องไห้มั่งหรือ จะแต่งให้น่ารักกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้ อย่างเช่นเปลี่ยนเป็น อ้วนใบ้แต่ห่วงใย อยากได้ใจมาใกล้เคียง เอ้อ อย่างนี้ยังจะฟังดูดีขึ้นมาหน่อย

    ทั้งหมดที่เล่ามานี่ ประเด็นของเรื่องก็คือ คุณว่ามั้ยครับว่า สมองคนเรานี่มันก็ทำงานไม่แตกต่างจากคอมพิวเตอร์ซักเท่าไหร่  มีความจำที่เป็นแบบ RAM คือเป็นความจำระยะสั้น เช่น ท่องเบอร์โทรศัพท์ประเดี๋ยวประด๋าว พอกดเมมฯ ไว้เสร็จแล้วก็ลืมไป ขณะเดียวกันก็มีความจำที่เป็นแบบระยะยาว เหมือนกับเป็นไฟล์ที่เซฟเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ เปิดเครื่องมากี่ครั้งๆ ก็ยังคงเอาออกมาอ่านได้อยู่ ตัวอย่างเช่น ชื่อ-นามสกุลของเรา ใบหน้าของพ่อเรา เนื้อร้องเพลงชาติ เรื่องราวประทับใจที่เกิดขึ้นเมื่อสงกรานต์ปีที่แล้ว อะไรประเภทนั้น

    เวลาสมองทำงานตามปกติ มันจะมีระบบ ออโตเซฟ (Autosave) ให้เราโดยอัตโนมัติ คือจะมีส่วนที่เป็นเหมือนตัวไรท์ข้อมูลจาก RAM ลงสู่ฮาร์ดดิสก์เป็นระยะๆ ทำให้ข้อมูลที่เข้ามาแบบประเดี๋ยวประด๋าวถูกเซฟเปลี่ยนมาเก็บเอาไว้เป็นไฟล์แบบถาวร ซึ่งจะถาวรมากถาวรน้อยอันนี้ก็ต้องมาว่ากันอีกที 

    ไฟล์บางไฟล์ไม่ถึงกับถาวรมาก หากเราไม่ไปยุ่งอะไรกับมันซักพัก มันก็จะถูกลบทิ้งไปเอง ก็เหมือนกับเวลาเราท่องจำไปสอบ ความรู้ก็อาจจะอยู่ได้ซักอาทิตย์นึง สอบเสร็จแล้วก็ลืม หรืออย่างวันเกิดแฟน ก็อาจจะจำอยู่ได้เฉพาะตอนที่คบกัน พอเลิกกันไปก็ลืม อย่างไรก็ตาม ไฟล์ที่ถูกดึงมาใช้บ่อยๆ หรือไฟล์ที่ยิ่งสำคัญมากๆ ก็จะยิ่งมีระบบการเซฟที่คงทนถาวรมากขึ้นเรื่อยๆ จนหลายๆ เรื่อง เราสามารถจดจำไปได้ตลอดชีวิต อย่างเช่นเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ผมเคยเผลอโชว์ไข่ให้น้องๆ ดูตอนเล่นน้ำด้วยกันหลังบ้าน คือตอนแรกกะจะถอดแค่กางเกงที่เปียก แต่ดันพลาดดึงลงมาหมดเลยทั้งกางเกงในกางเกงนอก ก็เลยกลายเป็นความทรงจำอันน่าอับอายที่มิอาจลืมเลือนได้ แถมพวกญาติๆ เวลาผมพาแฟนไปหา ก็มักจะหมั่นแฉเรื่องนี้ให้ฟังตลอดเวลาอีก ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เซฟถาวรยิ่งขึ้นไปใหญ่ ยวนใจดีจริงๆ



    จะเกิดอะไรขึ้นครับ หากตัวออโตเซฟที่ว่านี้ มันเกิดเจ๊งขึ้นมา? สมองเราก็จะกลายเป็นเหมือนคอมฯ ที่เดี๋ยวๆ ก็รีสตาร์ตอยู่ตลอดเวลา โดยที่ไม่มีการเซฟไฟล์เก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์เลย สมมุติพิมพ์งานอยู่ ก็จะเป็นแบบพิมพ์ๆ ไปหาย พิมพ์ๆ ไป หาย ต้องพิมพ์ใหม่ตลอด อย่างกรณีของยายผมนี่ เหมือนแก restart ทุกๆ 5 นาที ตัวออโตเซฟแกเริ่มเจ๊ง ทำให้แกไม่สามารถบันทึกสิ่งใหม่ๆ ลงฮาร์ดดิสก์ได้ เมมโมรี่แกค้างอยู่ได้แค่ใน RAM พอเกิน 5 นาทีก็ถูกลบทิ้งไปโดยอัตโนมัติ จำอะไรใหม่ๆ ไม่ได้เลย แต่ถ้าเป็นเรื่องเก่าๆ น่ะ แกจะยังจำได้อยู่ นั่นเป็นเพราะไฟล์เหล่านั้นได้ถูกเซ

    ตัวเข็มไรท์ ประกอบกับตัวฟังก์ชันออโตเซฟนี้ จริงๆ แล้วในทางวิทยาศาสตร์มีชื่อเรียกว่า Hippocampus (ฮิปโปแคมปัส) มีโครงสร้างเป็นเหมือนแท่งโค้งๆ ยาวๆ 2 แท่ง อยู่ลึกเข้าไปกลางสมองของคนเรา (มีงานวิจัยที่อังกฤษบอกว่า ฮิปโปของคนขับแท็กซี่มักจะใหญ่กว่าคนปกติ เพราะต้องจำทางเยอะ)

     
     

    ในคนสูงอายุที่เป็นโรคความจำเสื่อม สมองส่วนฮิปโปแคมปัสจะเป็นส่วนที่เริ่มเจ๊งก่อนเพื่อน อย่างกรณียายผมก็จะมีอาการคือ เริ่มประสบความยากลำบากในการบันทึกไฟล์ใหม่ๆ แต่ไฟล์เก่าๆ ไม่เป็นไร ถึงกระนั้นก็ตาม ฮิปโปแคมปัสของยายผมไม่ได้อยู่ดีๆ ก็เจ๊งไปเลย เพียงแต่ค่อยๆ เริ่มเสื่อมเริ่มรวนไปเรื่อยๆ เท่านั้น ถ้าให้แกท่องจำอะไรจริงๆ แกก็ยังสามารถจำได้ อย่างผมพาแฟนใหม่ไปแนะนำให้แกรู้จักเมื่อ 8 เดือนก่อน ตอนนี้แกก็ยังจำได้อยู่ คือไม่ใช่ว่าจำอะไรไม่ได้เลย เพียงแต่จำได้ยากขึ้นเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม ในโลกนี้มีบุคคลที่อยู่ดีๆ ฮิปโปแคมปัสก็เจ๊งไปเลยโดยสมบูรณ์ อย่างเช่นตัวละครของคุณดรูว์ แบร์รี่มอร์ ในเรื่อง 50 First Dates เธอตื่นมาทุกเช้า เป็นเช้าวันใหม่จริงๆ เพราะคอมเจ๊แกรีสตาร์ตทุกๆ หนึ่งวัน เรื่องอะไรก็ตามที่เกิดเมื่อวานจะจำไม่ได้เลย ในความเป็นจริง คนที่เป็นโรคนี้จะมีอัตราการรีสตาร์ตถี่กว่านั้นมาก อาจจะทุกๆ สองสามนาทีด้วยซ้ำไป (หนังที่ทำเกี่ยวกับคนเป็นโรคนี้ได้ใกล้เคียงของจริงมากกว่าเห็นจะได้แก่ Memento เป็นเรื่องเกี่ยวกับพ่อหนุ่มที่ฮิปโปแคมปัสเจ๊ง แต่ยังอุตส่าห์พยายามสืบสวนคดีฆาตรกรรมหาตัวคนร้ายที่ฆ่าเมียตัวเอง) คนเหล่านี้พอเริ่มแก่ตัว จะประหลาดใจทุกครั้งที่ส่องกระจก เพราะความทรงจำอาจจะค้างอยู่แค่เมื่อ 30 ปีก่อน คือยังคิดว่าตัวเองเป็นหนุ่มอยู่ บางคนอุตส่าห์ไปถามหมอว่า ผมเป็นอะไรเนี่ย? หมอก็อุตส่าห์อธิบายจนเข้าใจแล้ว แต่ในที่สุด 3 นาทีต่อมาเขาก็ลืมอีก น่าสงสารมาก 

    ฮิปโปแคมปัสเป็นหนึ่งในส่วนของสมองที่ต้องการใช้ออกซิเจนมากที่สุด และจะเริ่มตายหลังจากขาดออกซิเจนได้แค่แป๊บเดียว เวลาอยู่ในสภาวะขาดอากาศ สมองส่วนอื่นๆ อาจจะทนได้นานหน่อย แต่ส่วนที่จะเจ๊งก่อนเพื่อนก็คือ ฮิปโปแคมปัสนี่เอง คนที่เป็นโรคดรูว์ แบร์รี่มอร์ ส่วนใหญ่ก็มีสาเหตุมาจากเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อรู้แล้วก็จงจำไว้ว่า เวลามีคนตดในลิฟท์ ห้ามกลั้นหายใจโดยเด็ดขาด ให้ทนสูดเข้าไปเถอะ ไม่เช่นนั้นฮิปโปแคมปัสของคุณอาจตายได้

    ในบางกรณีของคนแก่ที่เป็นความจำเสื่อม เป็นไปได้ว่า ยิ่งแก่เส้นเลือดก็ยิ่งอุดตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ไม่เต็มที่ ฮิปโปแคมปัสก็เริ่มตายไปเรื่อยๆ ทางป้องกันที่ดีที่สุดทางหนึ่ง อาจเป็นการบริหารร่างกายบวกบริหารสมองอย่างสม่ำเสมอ ทุกครั้งที่เราคิดนู่นคิดนี่ คิดแก้ปัญหา คิดมุกตลก คิดเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เลือดจะสูบฉีดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น ทำให้เส้นเลือดมีการไหลเวียนที่ดี ไม่อุดตันง่ายตอนแก่ แต่ขณะเดียวกัน ถ้าคิดๆๆ เท่าไร ก็คิดไม่ตกซักที วกไปวนมามากมายจนปวดหัว เป็นแบบนี้นานๆ ร่างกายอาจหลั่งฮอร์โมนเครียดออกมา ซึ่งเจ้าตัวนี้แหละจะไปทำให้ระบบความจำแย่ เส้นเลือดหด ยิ่งเครียดยิ่งลืมนู่นลืมนี่ง่าย ท่องอะไรไปก็ไม่เข้าหัว เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวัง คิดเยอะๆ” น่ะดี แต่ต้องอย่า คิดมาก นะ

    หลายคนอาจสงสัยว่า คนเราเซฟสิ่งต่างๆ ใส่หน่วยความจำไปตั้งไม่รู้กี่อย่าง มันไม่มีการเมมโมรี่เต็มมั่งเหรอ?  คำตอบก็คือ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ… รู้แต่ว่า ตัวฮิปโปแคมปัสเอง ก็มีระบบเซฟแบบประหยัดเนื้อที่อยู่เหมือนกัน คือมันไม่ได้ไรท์ทุกอย่างลงฮาร์ดดิสก์หมด เอาแค่สิ่งที่สำคัญๆ เท่านั้น ของบางอย่างเราเห็นมันอยู่ทุกวัน แต่ก็ไม่ได้จดจำรายละเอียดมันได้ทั้งหมด อย่างเวลาหยิบแบ็งก์นี่ ดูแค่สีให้ออกก็พอแล้ว สมองเราไม่จำเป็นต้องไปจดจำไอ้พวกรายละเอียดลวดลายต่างๆ ให้เปลืองเมมโมรี่ อย่างเช่นสมัยเรียนอยู่อเมริกา ผมเคยเถียงกับเพื่อนคนหนึ่งเรื่องลายข้างหลังแบ็งก์ยี่สิบ จะเอาของจริงมาพิสูจน์ดูก็ไม่มีอีก เพราะไม่ได้พกเงินไทย ไอ้อวบเพื่อนผมมันบอกว่า

    "เฮ้ย กูว่ามันเป็นรูป:-)ว่ะ"

    "เฮ้ย กูว่าไม่ใช่ว่ะ" ผมเถียง

    "อ่าว ก็:-)ชาวบ้านบางระจันไง อันนี้กูชัวร์เลย"

    ":-)? กูว่าmungแหละ:-) รูปช้างตังหากเล่าเว้ย! ยุทธหัตถี พระนเรศวรนั่นไง"

    (ใครอยากพิสูจน์ด้วยตนเอง ก็ลองเอาแบ็งก์ยี่สิบรุ่นเก่าออกมาคลี่ดูนะครับ)

    แก้ไขเมื่อ 11 เม.ย

    แล้วทำไมเรื่องบางเรื่องท่องเท่าไหร่ก็ไม่จำ แต่พอบางเรื่องไม่ได้ท่องเลยแต่กลับจำไม่ลืม?  ประเด็นนี้ ผมมีเกร็ดนิดนึง เค้าบอกว่า สิ่งที่ผ่านเข้ามาตอนที่เรากำลังตื่นเต้นอยู่ จะถูกบันทึกจดจำได้ดีกว่าตอนปกติ ทั้งนี้เพราะสารอะดรีนาลิน (ฮอร์โมนที่เราหลั่งออกมาเวลาตื่นเต้น) มีฤทธิ์เพิ่มประสิทธิภาพการเขียนข้อมูลของฮิปโปแคมปัส… ผมนั่งทบทวนดู เออจริงว่ะ เมื่อวานก่อนนอนคุยอะไรกับแฟนนี่ยังนึกไม่ออกเลย แต่ไอ้ทีตอนบอกรักตั้งนานมาแล้วนู่น กลับจำได้ทุกรายละเอียด ไอ้ตอนสมัยประถมที่ออกไปเล่นตลกหน้าชั้นแล้วเพื่อนไม่ขำนั่นก็เหมือนกัน ทำไงก็ไม่ลืมซักที (นี่ยังไม่นับเรื่องโชว์ไข่นะ) สงสัยอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นตอนหัวใจเต้นรัว มันจะจำฝังใจไปเองโดยอัตโนมัติ… โอวว… ถ้าเป็นแบบนี้ ทางการครับ ผมขอร้องเรียนว่าอย่าเพิ่งปราบสื่อลามกให้เรียบเลยครับ เอามาให้เด็กนั่งดูไปท่องหนังสือไป อาจจะช่วยให้การศึกษาไทยดีกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้นะครับ



    ซีเรียสจริงจังขึ้นมาอีกนิด ทุกวันนี้มีนักวิจัยกำลังพยายามพัฒนายาตัวใหม่ ซึ่งสามารถออกฤทธิ์เข้าไปบล็อคการทำงานของอะดรีนาลิน ประโยชน์ของมันที่เค้ากะจะนำไปประยุกต์ใช้ ฟังแล้วแยบยลเหลือเชื่อ นั่นก็คือ เอาไว้ให้ผู้ประสบเคราะห์กินในทันทีหลังจากเกิดเหตุ อย่างเช่น พอโดนข่มขืนปุ๊บ ให้รีบกินเลยครับ หรือ ไฟไหม้ปุ๊บ รถชนปุ๊บ เครื่องบินตกปุ๊บ โดนพ่อถีบปุ๊บ เปิดประตูเข้าไปเจอยายกำลังอาบน้ำอยู่ปุ๊บ จะอะไรก็แล้วแต่ ให้รีบกินยาตัวนี้ทันทีเลยครับ แล้วมันจะสามารถเข้าไปช่วยป้องกันไม่ให้ภาพของเหตุการณ์เลวร้ายอันนั้นน่ะ เปลี่ยนกลายไปเป็นความทรงจำอันฝังใจ ที่จะคอยกลับมาหลอกหลอนในภายหลังได้… โอวว คอนเซ็ปเยี่ยมมากๆ และเท่าที่ทดลองมาก็ปรากฏว่าได้ผลดีจริงๆ ซะด้วย น่าเสียดายอยู่อย่างเดียวตรงที่มันไม่มีเวอร์ชั่นสำหรับให้กินตามไปลบความทรงจำแบบย้อนหลังไกลๆ ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นละก็นะ บรรดาพวกที่มีอดีตอัปปรีย์ อับอาย เคียดแค้น ปวดร้าว ผิดหวัง ทั้งหลาย คงจะยกโขยงมาเข้าคิวขอซื้อกันถล่มทลาย ยาวตั้งแต่เมืองหลวงของเปรูไปจนถึงนครศรีธรรมราช 

    จริงๆ จะว่าไป ขี้ลืมแบบยายบรรณนี่ก็ดีเหมือนกัน  เพราะเกิดเรื่องร้ายๆ อะไรขึ้นมาแกก็จำไม่ได้ ไม่ต้องคอยหนักสมอง

    แต่ในทางกลับกัน ไอ้พวกเรื่องดีๆ ต่างๆ แกก็พลอยจำไม่ได้ไปด้วยเนี่ยสิ อย่างวันก่อนพาแกไปดูปลาดูนกเพนกวินที่สยามโอเชี่ยนเวิลด์ ไอ้ตอนดูอยู่แกก็สนุกสนานตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ แต่พอดูเสร็จ กินข้าวเย็น ถามแกว่าเป็นไง ปลาสวยมั้ย สนุกมั้ย ปรากฏแกจำอะไรไม่ได้เลย ลืมไปหมดแล้วว่าไปเที่ยวไหนมาบ้าง แรกๆ ไอ้หลานก็น้อยใจนะ อุตส่าห์พาไปเที่ยว แต่พอนั่งตรึกตรอง นั่งมองยายบรรณยิ้มสักพัก ก็พลันบังเกิดเป็นอุทาหรณ์เออ ชีวิตคนเรานี่มันก็เท่านี้จริงๆ ว่ะ ความงาม ความสุข จะจริงแท้อยู่ได้ก็ ณ ห้วงขณะที่เราสัมผัสมันเท่านั้น จงดื่มด่ำกับปัจจุบันให้เต็มที่ เพราะที่เหลือล้วนไม่มีอันใดจีรัง ผ่านไป ไม่หวนคืน ยึดติดมากไป ก็ก่อให้เกิดมายาความยุ่งยากขึ้นโดยไม่จำเป็นผ่านพบไม่ผูกพัน แบบที่ คุณเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ได้เคยเขียนถึงเอาไว้ ไม่แน่ ยายบรรณนี่แหละ อาจเป็นผู้หนึ่งที่สามารถใช้ชีวิตแบบนั้นได้อย่างแท้จริง



    ขี้ลืม แบบยายบรรณ ช่างแฝงไว้ด้วยปรัชญาและสัจธรรม

    ส่วนตัวผมเอง เขียนเล่าข้อมูลมายืดยาว ผู้อ่านอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนความจำดี แต่จริงๆ แล้ว ก็ต้องขอสารภาพว่า เป็นคนขี้ลืมมากๆ คนหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่เป็น ขี้ลืม อีกประเภทนึง คือ ขี้แล้วลืม จริงๆ& อย่างคราวก่อนก็ต้องให้แม่มาตามกดน้ำให้ น่าอดสูมาก..

    แต่ก็เอาเถอะครับ ขี้ลืม น่ะไม่เท่าไหร่หรอก ดังที่ขงเบ้งได้เคยกล่าวเอาไว้

    ขี้ลืม ยังดีกว่า ลืมขี้ เนาะ



ไม่มีความคิดเห็น: